4000111 ทักษะการจัดการความรู้
สาขาวิชาศึกษาทั่วไป
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
ถนนกาญจนบุรี-ไทรโยค ต.หนองบัว อ.เมือง กาญจนบุรี 71000

***ความรู้คืออำนาจ เรียนและค้นคว้าให้สนุกในโลกของสังคมข่าวสาร ไร้พรมแดน ไร้กาลเวลา***

ทักษะการจัดการความรู้

คำอธิบายรายวิชา/
แนวการสอน
(Course
Overview)

สารบัญเนื้อหาวิชา

กิจกรรมการเรียน
การสอน

สื่อการสอน

การประเมินผล
(Evaluation)

ตำราประกอบ
การสอน
(Texts and
Materials)

แหล่งทรัพยากร
สารสนเทศอื่นๆ
(Other Useful
Resources)

แหล่งทรัพยากร
เกี่ยวกับ
Internet
(Resources
about the
Internet and
Its Tools)

ตำราและวารสาร
อิเล็กทรอนิกส์
(On-Line
Journals and
Magazines)

แนะนำตัวผู้สอน

รายชื่อนักศึกษา

ผลงานของนักศึกษา

การสอบปลายภาค


Home

ความรู้กับมนุษย์

โดย ผศ.ดร.ไพโรจน์ ชลารักษ์

1.14 การคิดและธรรมชาติของการคิด

มีผู้กล่าวว่า “การคิด” คือการสำรวจตรวจสอบประสบการณ์เพื่อความมุ่งหมาย หรือจุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง (สำนักงานศึกษาธิการเขต เขตการศึกษา 5 2530, 5) อาจอธิบายเพิ่มเติมได้ว่า ผู้ใดสำรวจตรวจสอบประสบการณ์ ผู้นั้นคือผู้คิด และตรวจสอบประสบการณ์ของตนเองหรือผู้อื่นก็เรียกว่าเป็นการคิดได้ทั้งสองอย่าง และการตรวจสอบนั้นก็ต้องมีวัตถุประสงค์กำกับด้วย ที่สำคัญการสำรวจตรวจสอบประสบการณ์นี้มิได้ใช้เครื่องมือนอกตัวตนอย่างใด แต่ใช้สมองของคน ๆ นั้น นั่นเอง สมองเปรียบเสมือนโกดังที่รองรับหรือเก็บสิ่งต่าง ๆ ที่ไหลเข้ามาโดยอ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย แต่มีอะไรบางอย่างนำสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาจำแนกเปรียบเทียบ สรุป แล้วเก็บในที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่าความทรงจำ ธรรมชาติของการคิดจึงอาศัยวิธีการ 2 วิธี ได้แก่ การสังเกต และการเปรียบเทียบ เป็นกิจกรรมหลัก การคิดจึงเป็นกระบวนการมีกิจกรรมแรกคือ การรับสัมผัส รับรู้แล้วสังเกต เปรียบเทียบ แล้ววินิจฉัย ตัดสิน สรุป เป็นผล ขั้นสุดท้าย ตัวที่รับรู้กระบวนการนี้ คือจิตของคน ดังนั้นกล่าวได้ว่า การคิด (thinking) คือภาวะที่จิตแปรเปลี่ยนหรือเคลื่อนไหว เพราะถูกกระทบจากสิ่งต่าง ๆ ทั้งจากภายในตัวคนและภายนอกตัวคน และการแปรเปลี่ยนนี้เกิดขึ้นในอวัยวะส่วนที่เรียกว่า สมอง (brain) เป็นการพยายามจะรับรู้เพิ่มขึ้นจากเดิม ภาวะจิตที่สถิตอยู่ในอวัยวะภายในร่างกายคือสมองนี้เปรียบเสมือนน้ำที่มีอยู่ในหม้อ หากหม้อถูกกระทบกระเทือนหรือถูกความร้อนทำให้น้ำเคลื่อนไหวและร้อนขึ้นจนถึงขั้นเดือดและระเหยเป็นไอไปได้ ภาวะจิตที่สถิตในสมองและถูกกระทบผ่านอวัยวะอื่นที่ส่งมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น และกายภายนอกส่วนอื่น จะสัมผัสหรือปะทะกันผสมผสานกันเป็นอาการที่ถือได้ว่าเป็นการคิด หากการคิด มุ่งเป้าหมายไปเพื่อจะกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างการคิดนั้นจะเรียกว่า เจตนา (will) ที่สุดของเจตนาจะเป็นการตัดสินใจ (decision) และเมื่อมีการตัดสินใจแล้วก็แสดงออกหรือสะท้อนออกมาเป็นพฤติกรรม (actions or behaviors)
การคิดจะเกิดขึ้นและเป็นไปตลอดเวลาต่อเนื่องกันโดยไม่มีหยุดจนผู้คิดหรือตัวคนคิดอาจไม่รู้ตัวสิ่งที่เป็นความคิดก็จะแปรเปลี่ยนเรื่อย ๆ ต่อเนื่องกันเป็นกระแส (stream) เมื่อความคิดเปลี่ยนแปลงและดำเนินไปยาวนานสิ่งที่เคยได้คิดไว้ก็ห่างไกล และลืมได้ สิ่งที่จะช่วยให้การคิดมีความเข้มและดำรงอยู่หรือดำเนินไปอย่างมีเป้าหมายแน่ชัด ได้แก่ สติ (mindfulness) และสัมปชัญญะ (awareness)
ลักษณะความคิด อาจแบ่งได้เป็น 2 แบบ ได้แก่
1) คิดแบบมีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์(purposeful thinking ) คือคิดเพื่อหาข้อสรุปหรือ ตอบคำถาม หาทางแก้ปัญหาหรือตอบข้อสงสัย
2) คิดแบบไร้เป้าหมาย (unpurposeful ) คือการคิดปล่อยไปตามอารมณ์เรื่อยๆ ไม่ต้องการแก้ปัญหาหรือตอบข้อสงสัยใดๆ การคิดแบบนี้เป็นการผ่อนคลายจากการคิดแบบแรก(relaxation) อาจเรียกอีกหนึ่งว่าจิตนาการ (imagination)

1.15 องค์ประกอบของการคิด
การคิดของมนุษย์จะเกิดขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบดังนี้
1) เรื่องหรือสาระที่ใช้เป็นแกนให้คิด ความจริงก็คือเรื่องที่มนุษย์ได้รับสัมผัส หรือรับรู้แล้วนั่นเอง อาจเป็นเรื่องที่เพิ่งรับรู้หรือเพิ่งสัมผัสเป็นครั้งแรก หรือ เรื่องที่เคยรับรู้รับสัมผัสมาแล้วในอดีตก็ได้ ซึ่งเป็นการย้อนรำลึก(recall or remind)ประสบการณ์ในอดีตมาใช้ในการคิด
2) ลักษณะหรือวิธีการคิด หมายถึง การมุ่งประเด็นหรือเรื่องที่คิดไปแนวใด ซึ่งอาจสรุปเป็นวิธีคิดได้หลายวิธีดังต่อไปนี้
(1) คิดถามหรือคิดสงสัย ( surprising) เป็นการคิดเมื่อรับสัมผัสสิ่งใดสิ่งหนึ่งทันทีที่รู้สึกถึงสัมผัส จากนั้นก็จะเปลี่ยนไปเป็นความคิดแบบอื่นต่อไปก่อนที่จะสิ้นสุดหรือยุติว่า เป็นเรื่องหรือสาระใดให้คิดต่อ
(2) คิดแบบวิเคราะห์(analytical thinking ) คือ คิดจำแนกแยกแยะว่า เรื่องที่คิด มีอะไรเป็นส่วนประกอบหรือเกี่ยวข้องผสมกับอะไรอยู่บ้าง
(3) คิดแบบสังเคราะห์(synthetical thinking) คือคิดหาส่วนสาระที่ต้องการออกมาจากเรื่องทั้งหมด
(4) คิดแบบเชื่อมโยงหรือหาความสัมพันธ์(matter related thinking) คือคิดในประเด็นที่ว่า มีสาระที่ต่างกัน อะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกันอย่างไร ซึ่งจะได้แก่การคิดความเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน
(5) คิดแบบย้อนรำลึก (remind หรือ recall ) เป็นการย้อนกลับไปทบทวนหรือเรียงลำดับ หรือทำความกระจ่างชัดเจน ให้เกิดขึ้นในใจหรือในความคิด ซึ่งเดิมยังไม่ชัดเจน หรือเคยรับรู้หรือประสบมานานแล้ว เกิดการเลือนหรือลืมไปบ้าง มักจะใช้คำง่าย ๆ ว่านึก
(6) คิดทบทวนไตร่ตรองหรือใคร่ครวญ(rethink) เป็นการคิดให้รอบคอบเพื่อหาความแตกต่างไปจากความคิดเดิมว่ามีอีกหรือไม่ เป็นการคิดอย่างช้าๆด้วยวิธีคิดหลายวิธีผสมผสานกัน
(7) คิดตามหรือคิดย้อน (following or converting thinking) เป็นการคิดเมื่อคนได้ฟังหรืออ่าน หรือดู เรื่องใดเรื่องหนึ่งซึ่งยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน การคิดแบบนี้จะทำให้เกิดความเข้าใจเรื่องได้ชัดเจน
3)ตัวกระตุ้นหรือเร้าให้คิด (arousal) เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ความคิดคงอยู่และพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงไปจนถึงที่สุดคือ มนุษย์ได้ผลสรุปจากการคิด บางอย่างเมื่อมนุษย์รับรู้หรือสัมผัสแล้วเพียงแต่รับรู้เท่านั้น ไม่มีการคิดต่อไป แต่ถ้ามีสิ่งใดมาช่วยหรือกระตุ้นจะทำให้เกิดการคิดต่อเนื่อง ตัวกระตุ้นหรือสิ่งเร้า มี 2 ประเภท ได้แก่
(1) สิ่งเร้าหรือตัวกระตุ้นภายในมนุษย์เอง (intrinsic) ได้แก่ ความอยาก (desire) หรือความต้องการ (needs) ที่เกิดเองได้โดยอัตโนมัติเมื่อถึงเวลา เช่น ความหิว ความต้องการทางเพศ สิ่งเร้าประเภทนี้เป็นประสบการณ์เดิมที่มีมาก่อนแล้วและเกิดความคิดแบบย้อนรำลึกหรือนึกขึ้นมาหรืออาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะฮอร์โมนในร่างกายกระตุ้นก็ได้
(2) สิ่งเร้าภายนอก (extrinsic) เป็นสิ่งที่อยู่นอกตัวมนุษย์แต่มนุษย์สามารถรับ สัมผัสได้ด้วยประสาทรับสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ การได้เห็น ได้ยิน ได้ดม ได้ชิม และได้สัมผัสถูกต้องทำให้ได้รับรู้แล้วทำให้เกิดการคิดตามมา
4) เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการคิด (purposes and ends of thinking) การคิดจะมีที่สิ้นสุดหรือยุติเมื่อได้คิดเรื่องหนึ่งเรื่องใด จนกระทั่งประเด็นหรือเรื่องที่คิดเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น เมื่อคนได้เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็จะคิดว่ามันคืออะไร ซึ่งเป็นคำถามที่เป็นวัตถุประสงค์การคิดซึ่งเกิดโดยอัตโนมัติได้หากเป็นสิ่งที่เคยประสบมาแล้วก็จะเปลี่ยนการคิดเป็นการย้อนรำลึก หรือคิดเชื่อมโยงกับสิ่งที่ใกล้เคียงหรือคล้ายกัน หากเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยประสบมาก่อนก็จะคิดแบบวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อหาความเข้าใจหรือสาระเพิ่มขึ้นจนในที่สุดก็จะยุติลงด้วยภาวะหนึ่ง เช่น นึกได้ว่าเคยเห็นแล้วเคยรู้จักแล้วจำได้ หรือสรุปว่าเป็นสิ่งใหม่ยังไม่เคยประสบมาก่อน
ข้อยุติดังกล่าวเป็นเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่มีเป้าหมายและ วัตถุประสงค์ของการคิดบางอย่างสามารถกำหนดขึ้นได้โดยผู้คิดเอง ซึ่งจะจัดเป็นลักษณะการคิดอย่างใดอย่างหนึ่งใน 2 แบบ ดังกล่าวแล้วข้างต้น ntelligence) เป็นการลอกเรียนแบบปัญญามนุษย์ไปสร้างในสิ่งที่ไม่ใช้มนุษย์ให้ได้เหมือนมนุษย์


หน้าสารบัญ

ปรับปรุงล่าสุด วันที่ 28 พฤษภาคม 2551
รศ.ดร.จุมพจน์ วนิชกุล
chumpot@hotmail.com

 


Send comments to Chumpot@hotmail.com
Copyright © 2008
Revised:May 2008